บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ทำทองปลอม แต่ได้ไม้ขีด


วิกิพีเดีย หัวข้อ  ไม้ขีดไฟ” เขียนประวัติความเป็นมาไว้ ดังนี้

ปี พ.ศ. 2370 (ต้นสมัยรัชกาลที่ 3) มีนักเคมีชาวอังกฤษชื่อ จอห์น วอล์คเกอร์ ทำไม้ขีดจากเศษไม้จุ่มปลายลงในส่วน ผสมของแอนติโมนีซัลไฟด์โปตัสเซียมคลอเรตและกาวซึ่งทำจากยางไม้ หรือ gumarabic

เมื่อนำไม้ขีดไฟขูดลงบนกระดาษทรายจะเกิดแรงเสียดสี ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนที่ทำให้ไม้ขีดลุกเป็นไฟ

ไม้ขีดแบบที่ จอห์น วอล์คเกอร์ ประดิษฐ์เป็นแบบเดียวกันกับไม้ขีดประเภท "ขีดกับอะไรก็ได้" แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะติดไฟทุกครั้ง ไม้ขีดไฟชนิดนี้เพิ่งคิดค้นได้หลังจากการประดิษฐ์ไฟแช็กถึง 4 ปี

ถึงปี พ.ศ. 2373 ในประเทศฝรั่งเศส ชาร์ลส์ โซเรีย ได้คิดค้นไม้ขีดไฟที่มีปลายทำจากฟอสฟอรัสเหลือง แต่ช่วงสิ้นศตวรรษที่ 19 หัวไม้ขีดมีส่วนประกอบของฟอสฟอรัสเหลืองหรือขาวมีพิษทำให้คนงานในโรงงานผลิตไม้ขีดไฟเจ็บป่วยถึงพิการหรือเสียชีวิตด้วยโรคที่เรียกกันว่า phossy jaw

ในช่วง พ.ศ. 2383 หรือปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการค้นพบฟอสฟอรัสแดงซึ่งทำให้ผลิตไม้ขีดได้อย่างปลอดภัย แต่ไฟจะติดได้ก็ต้องจุดเฉพาะพื้นที่ที่เตรียมไว้เท่านั้น

ผิวสำหรับขีดอยู่ข้างกล่องไม้ขีดมีฟอสฟอรัสแดง ทาติดอยู่ ด้วยยางไม้ gumarbic หรือกาวชนิดอื่น ส่วนที่หัวไม้มีโปแตสเซียมคลอเรตซึ่งเมื่อกระทบกับ ฟอสฟอรัสแดง ก็จะเกิดปฏิกิริยาให้ความร้อนมากพอและไฟจะติดขึ้นได้

วัสดุที่ใช้ทำก้านไม้ขีดได้ดีที่สุดก็คือไม้ ลักษณะไม้ซึ่งเหมาะสำหรับทำก้านไม้ขีดควรจะเป็นไม้สีขาว ไม่มีกลิ่น เนื้อไม้ไม่แข็งหรืออ่อนเกินไป นิยมใช้ไม้มะยมป่า ไม้มะกอก ไม้อ้อยช้าง ไม้ปออกแตก เป็นต้น

ก่อนจุ่มทำหัวไม้ขีดจะต้องเอาปลายก้านไม้ขีดที่จะติดหัวนั้นไปจุ่มขี้ผึ้งพาราฟินก่อน หากเนื้อไม้แข็งเกินไปก็จะไม่ดูดซึมพาราฟิน

พาราฟินจะเป็นตัวส่งผ่านจากหัวไม้ขีดไปสู่ก้านไม้ขีด หากไม่มีพาราฟิน เมื่อไฟติดก็จะดับในทันที และหากเนื้อของไม้อ่อนจนเกินไปก้านไม้ขีดก็จะไม่คงรูปเป็นก้านตรงได้

ไม้ขีดไฟในประเทศไทย

สมัยแรกเป็นการนำเข้าไม้ขีดไฟของสวีเดนและญี่ปุ่น โดยของญี่ปุ่นนั้นมีตราต่างๆ และมีภาพวาดบนฉลากไม้ขีดไฟเป็นรูปต่างๆ เรียกว่า หน้าไม้ขีดไฟ มีนักสะสมจะเก็บรวบรวมหน้าไม้ขีดไฟ

ต่อมาช่วงสมัยรัชกาลที่ 7 คนไทยสามารถผลิตไม้ขีดไฟเองได้ มีโรงงานไม้ขีดไฟของเมืองไทยในยุคนั้น ได้แก่ บริษัทมิ่นแซจำกัด ผลิตตรานกแก้ว ตรารถกูบ บริษัทตังอาจำกัด ผลิตตรามิกกี้เม้าส์ ตราแมวเฟลิกซ์ บริษัทไทยไฟ ผลิตตรา 24 มิถุนา เป็นรูปพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นที่ระลึกในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบประชาธิปไตย บริษัทเอเซียไม้ขีดไฟจำกัด ผลิตชุด ก.ไก่ ข.ไข่ บริษัทสยามแมตซ์แฟ็กตอรี่ ภายหลังเปลี่ยนมาเป็นบริษัทไม้ขีดไฟไทย ผลิตตราธงไตรรงค์ ตราพระยานาค

ประวัติของไม้ขีดไฟที่กล่าวมานั้น มันยังไม่แปลกเท่าไหร่ และก็ไม่เก่าเท่าไหร่ ที่จะเล่าต่อไปนี้ มันเก่ากว่านั้น และก็แปลกกว่านั้น

ไม้ขีดไฟนั้น เป็นองค์ความรู้ของนักเคมี  ในยุคของนิวตันนั้น แยกกันออกยากระหว่างนักวิทยาศาสตร์ซึ่งสนใจเคมีกับนักเล่นแร่แปรธาตุ

ในปี ค.ศ. 1675 ก็ประมาณสามร้อยกว่าปีมาแล้ว  นักเคมีชาวเยอรมันชื่อ เฮนนิง แบรนด์ (Henning Brand) ท่านมีอารมณ์บรรเจิดมาก และเห็นว่า ปัสสาวะของท่าน ที่อาจจะดื่มเบียร์เยอรมันสีอำพันมากไปหน่อย มีสีเช่นเดียวกับทอง

ท่านก็คิดว่า ทองกับปัสสาวะของท่านจะต้องมีลักษณะสำคัญร่วมกันแน่ๆ  ท่านจึงจะทำทองปลอมขึ้นมา จากปัสสาวะ

ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ การรวบรวมปัสสาวะเพื่อนำมาทำเป็นทองครั้งนี้ ถ้าจะเอาของท่านคนเดียวเห็นจะไม่ประสบความสำเร็จเสียเป็นแน่แท้ ท่านจึงไปเสาะหารวบรวมปัสสาวะของคนในหมู่บ้านได้มาชุดแรก 50 ถัง

ท่านก็นำปัสสาวะ 50 ถังนั้น ไปบ่มไว้หรือเก็บไว้ในห้องใต้ดิน และมีวิธีการทำเป็นความลับ ที่ไม่มีใครสามารถรู้ตามได้

ปรากฏว่า ปัสสาวะของอาสาสมัครทั้งหลายนั้น กลายเป็นของเหลวข้น และเป็นพิษ  พัฒนาต่อมาอีกหน่อยก็กลายเป็นของใสเหมือนขี้ผึ้ง แต่มันก็ยังไม่เป็นทองคำตามความคาดหมาย

ต่อมาอีก สารดังกล่าวนั้น กลับส่งประกายขึ้นมา แต่มีวาวแววดังทอง แต่เป็นแสงเรืองๆ  เมื่อคุณเฮนนิง แบรนด์ เอาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาโดนอากาศ มันจะระเบิดกลายเป็นไฟหลายครั้ง

ผลปรากฎออกมาว่า คุณเฮนนิง แบรนด์ แกไม่ได้ทองคำตามวัตถุประสงค์แต่ได้ “ฟอสฟอรัส” มาแทน

คุณเฮนนิง แบรนด์แกไม่ได้เศร้าเสียใจอะไรหนัก เพราะ ฟอสฟอรัสในยุคนั้นมีความสำคัญมาก และที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ แพงกว่าทองคำ

เอาละซี.. ขั้นตอนต่อมา คุณเฮนนิง แบรนด์แกก็ไประดมทหารเป็นกองร้อยกองพันมาผลิตวัตถุดิบ แต่ความฝันก็คุณเฮนนิง แบรนด์ก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก ตามหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เพราะต่อมา ในทศวรรษ 1750 นักเคมีชาวสวีเดน ชื่อ คาร์ล ชีน (Karl Shceels) ท่านไปคิดค้นวิธีผลิตฟอสฟอรัสที่ละมากๆ ได้ โดยไม่ต้องทนเหม็นปัสสาวะของทหาร

ดังนั้น สวีเดนซึ่งเป็นผู้นำของการผลิตไม้ขีดไฟมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ถ้าใครคิดว่า ผมแหกตาก็ลองไปดูวิดิโอใน youtube ได้ที่นี่ 




4 ความคิดเห็น:

  1. ผมไม่เข้าใจตรงที่ ทำไมการเล่นแร่แปรธาตุจึงจัดว่าเป็นวิชาของมารครับ ก็แค่การยิงแสงใส่ตะกั่วให้กลายเป็นทอง ไม่น่าจะเป็นกรรมหนักอะไรเลยนี่ครับ

    หรือว่าจะมีการแปรธาตุแบบเพ่งจิตไปที่ธาตุ เพื่อให้แปรไปเป็นอีกธาตุหนึ่ง

    ตอบลบ
  2. คุณไปเอามาจากไหนที่ว่า "การเล่นแร่แปรธาตุเป็นวิชาของมาร"

    เรื่องใดก็ตาม ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ "ใจ-จิต-วิญญาณ" ที่จะส่งผลให้กระทำความชั่ว ก็ไม่เป็นวิชาของมาร

    ถ้าจะจัดเข้ากับเรื่องธาตุธรรม 3 ฝ่าย ก็คือ ฝ่ายเป็นกลาง เป็นการกระทำที่ไม่ดี ไม่ชั่ว

    แต่ถ้าเป็นไสยศาสตร์ หรืออะไรที่ออกไปทำนองนั้น จึงจะเป็นวิชาของมาร

    ตอบลบ
  3. http://www.watchai.org/images/column_1356316460/Buddihist%20doctrine-ideology.pdf

    หน้า ๒๙ ในบท "คำประพันธ์ของหลวงพ่อบทนี้สำคัญมาก" วรรคที่สอง ช่วงท้ายครับ

    ผมงงจริงๆว่า การเล่นแร่แปรธาตุนี่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องใจ จิต วิญญาณเลย แล้วจะเป็นวิชาของมารได้อย่างไร

    หรือว่าในโลกนี้ จะมีการแปรธาตุประเภท ใช้คาถาอาคมในการแปรธาตุ อยู่ด้วย

    (ประเด็นนี้เป็นใบไม้นอกกำมือ ไม่ได้ช่วยอะไรในเรื่องการปฏิบัติ แต่ผมก็ต้องรู้ไว้ก่อน เผื่อมีคนถาม แล้วผมตอบไม่ได้ มันน่าอายน่ะครับ)

    ตอบลบ
  4. ขอให้ดูทั้งหมด "เช่น ไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา เล่นแร่แปรธาตุ เป็นต้น

    คำนี้ ลุงหมายถึง เล่นแร่แปรธาตุแบบไสยศาสตร์ เช่น หุงปรอท เป็นต้น

    ไม่ใช่การทำตะกั่วให้เป็นทองแบบวิทยาศาสตร์ เป็นการเล่นแร่แปรธาตุแบบไสยศาสตร์

    ความหมายของคำไม่เหมือนกัน

    ตอบลบ